2.1.แบบจำลองอะตอม

แบบจำลองอะตอม
          เนื่องจากอะตอมมีขนาดเล็กมาก อีกทั้งไม่มีใครเคยมองเห็นอะตอมมาก่อน เมื่อนักวิทยาศาตร์พัฒนากล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่มีกำลังขยายสูงมากนำมาใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ จึงสามารถถ่ายภาพที่เชื่อว่าเป็นภาพภายนอกของอะตอมได้ดังรูป 1.1

รูป 1.1  ภาพถ่ายอะตอมของทองคำด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน


          จากภาพนี้ก็ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดภายในอะตอมได้ การศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับอะตอมจึงเป็นการแปลผลจากข้อมูลที่ได้จากการทดลองและนำมาสร้างเป็นนโมภาพหรือแบบจำลอง

           - นักเรียนคิดว่าแบบจำลองที่สร้างขึ้นมานั้นสามารถปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่เพราะเหตุใด

1.1.1  แบบจำลองอะตอมของดอลตัน
          ในปี พ.ศ.2346 จอห์น ดอลตัน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎีอะตอมเพื่อใช้อธิบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงมวลของสารก่อนและหลังทำปฏิกิริยา รวมทั้งอัตราส่วนโดยมวลของธาตุที่รวมกันเป็นสารประกอบหนึ่งๆ ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
          1.  ธาตุประกอบด้วยอนุภาคเล็กๆ หลายอนุภาคอนุภาคเหล่านี้เรียกว่า อะตอม ซึ่งแบ่งแยกและทำให้สูญหายไม่ได้
          2.  อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันมีสมบัติเหมือนกัน เช่น มีมวลเท่ากัน แต่จะมีสมบัติแตกต่างจากอะตอมของธาตุอื่น
          3.  สารประกอบเกิดจากอะตอมของธาตุมากกว่าหนึ่งชนิดทำปฏิกิริยาเคมีกันในอัตราส่วนที่เป็นเลขลงตัวน้อยๆ
          ทฤษฎีอะตอมของดอลตันช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นสามารถอธิบายลักษณะและสมบัติของอะตอมได้เพียงระดับหนึ่ง ต่อมาได้มีการศึกษาเกี่ยวกับอะตอมเพิ่มขึ้นและค้นพบข้อมูลบางประการที่ไม่สอดคล้องกับแนวคิดของดอลตัน เช่น พบว่าอะตอมของธาตุชนิดเดียวกันอาจมีมวลแตกต่างกันได้ อะตอมสามารถแบ่งแยกได้นักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อมาจึงได้ศึกษาเพิ่มเติมแล้วสร้างแบบจำลองอะตอมขึ้นใหม่ นักเรียนจะได้ศึกษาต่อไปว่านักวิทยาศาสตร์พัฒนาแบบจำลองอะตอมโดยมีผลการทดลองหรือข้อมูลใดช่วยสนับสนุนแนวคิดเหล่านั้น

1.1.2  แบบจำลองอะตอมของทอมสัน
          จากการพบว่ามีข้อมูลบางประการไม่สอดคล้องกับแนวคิดเกี่ยวกับอะตอมของดอลตัน นักวิทยาศาสตร์จึงได้ศึกษาเพิ่มเติมและสร้างแบบจำลองอะตอมขึ้นใหม่ แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลที่ให้รายละเอียดภายในอะตอม รวมทั้งมีนักวิทยาศาสตร์อีกหลายคนที่สนใจศึกษาการนำไฟฟ้าของแก๊ส โดยทำการทดลองผ่านไฟฟ้ากระแสตรงเข้าไปในหลอดแก้วบรรจุแก๊สความดันต่ำ เพราะที่ภาวะนี้มีจำนวนอะตอมของแก๊สไม่หนาแน่นทำให้ง่ายต่อการศึกษา พบว่าเมื่อเพิ่มความต่างศักย์ระหว่างขั้วไฟฟ้าให้สูงขึ้นจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านหลอด ขณะเดียวกันก็จะเกิดรังสีพุ่งออกจากแคโทดไปยังแอโนด รังสีนี้เรียกว่า รังสีแคโทด และเรียกหลอดแก้วชนิดนี้ว่า หลอดรังสีแคโทด
 

รูป 1.2  หลอดรังสีแคโทด


          ในปี พ.ศ. 2540 เซอร์โจเซฟ จอห์น ทอมสัน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ทำการทดลองบรรจุแก๊สชนิดหนึ่งไว้ในหลอดแก้วที่ต่อไว้กับเครื่องสูบอากาศเพื่อลดความดันภายในหลอด ที่แอโนดเจาะรูตรงกลางและต่อไว้กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรงศักย์สูง ที่ปลายหลอดมีฉากเรืองแสงวางขวางอยู่ ดังรูป  1.3  พบว่าเมื่อลดความดันในหลอดแก้วให้ต่ำลงมากๆ จนเกือบเป็นสูญญากาศ จะมีจุดสว่างเกิดขึ้นตรงบริเวณศูนย์กลางของฉากเรืองแสง

 
รูป 1.3  หลอดรังสีแคโทดที่ดัดแปลงแล้ว

รูป 1.4  หลอดรังสีแคโทดที่มีขั้วไฟฟ้าในหลอดเพิ่มขึ้นอีกสองขั้ว


          ทอมสันทำการทดลองต่อโดยเพิ่มขั้วไฟฟ้าอีก  2  ขั้วในแนวดิ่ง  ดังรูป  1.4  ปรากฎว่าตำแหน่งของจุดสว่างบนฉากเรืองแสงเบนเข้าหาขั้วบวกของสนามไฟฟ้า จึงสรุปว่ารังสีจากแคโทดประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบ

          เมื่อทอมสันทดลองเปลี่ยนชนิดของแก๊สที่บรรจุในหลอดและโลหะที่ใช้เป็นแคโทด พบว่ารังสีที่เกิดขึ้นยังคงประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุลบพุ่งมากที่ฉากเรืองแสงเหมือนเดิม เมื่อคำนวณหาอัตราส่วนของประจุต่อมวล (e/m) ของอนุภาคพบว่าได้ค่าเท่ากับ  \displaystyle 1.76x10^8 คูลอมบ์ต่อกรัมทุกครั้ง จากผลการทดลองและการคำนวณช่วยให้ทอมสันสรุปได้ว่าอะตอมทุกชนิดมีอนุภาคที่มีประจุลบเป็นองค์ประกอบ และเรียกอนุภาคนี้ว่า อิเล็กตรอน

           จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่าอะตอมเป็นกลางทางไฟฟ้าและมีอิเล็กตรอนซึ่งเป็นอนุภาคที่มีประจุลบเป็นองค์ประกอบ นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่าอะตอมต้องประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุบวกด้วย

          ออยเกน โกลด์ชไตน์  นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันได้ดัดแปลงหลอดรังสีแคโทดโดยเจาะรูตรงกลางขั้วแอโนดและแคโทด และเลื่อนขั้วทั้งสองมาไว้เกือบตรงกลางหลอดรวมทั้งเพื่อฉากเรืองแสงที่ปลายทั้งสองด้านของหลอดดังรูป 1.5


รูป 1.5  หลอดรังสีแคโทดกับอนุภาคบวก


เมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในหลอด ปรากฎว่ามีจุดสว่างเกิดขึ้นบนฉากเรืองแสงทั้งสองด้าน อธิบายได้ว่ารังสีที่ไปกระทบกับฉากเรืองแสงบริเวณด้านหลังแคโทดต้องเป็นอนุภาคที่มีประจุบวก เมื่อทำการทดลองกับแก๊สอีกหลายชนิด พบว่าอนุภาคที่มีประจุบวกเหล่านี้มีอัตราส่วนของประจุต่อมวลไม่คงที่ นอกจากนี้ยังพบว่าถ้าบรรจุแก๊สไฮโดรเจนไว้ในหลอดรังสีแคโทด จะได้อนุภาคบวกที่มีประจุเท่ากับประจุของอิเล็กตรอน นักวิทยาศาสตร์เรียกอนุภาคบวกที่เกิดจากแก๊สไฮโดรเจนนี้ว่า โปรตอน
          จากผลการทดลองดังกล่าวทำให้ทอมสันได้ข้อมูลเกี่ยวกับอะตอมมากขึ้น จึงเสนอแบบจำลองของอะตอมว่า อะตอมเป็นรูปทรงกลมประกอบด้วยเนื้ออะตอมซึ่งมีประจุบวกและมีอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบกระจายอยู่ทั่วไป อะตอมในสภาพที่เป็นกลางทางไฟฟ้าจะมีจำนวนประจุบวกเท่ากับจำนวนประจุลบ

 
รูป 1.6  แบบจำลองอะตอมของทอมสัน


           - แบบจำลองอะตอมของทอมสันใช้อธิบายผลการทดลองที่กล่าวมาแล้วได้อย่างไร

          ตามแบบจำลองอะตอมของทอมสัน เมื่ออะตอมของโลหะที่เป็นแคโทดได้รับพลังงานไฟฟ้าที่มีศักย์สูง  จะทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกมาจากอะตอมของโลหะและวิ่งไปชนกับอะตอมของแก๊สที่อยู่ภายในหลอดอย่างต่อเนื่องทำให้อะตอมของแก๊สแตกตัวได้อนุภาคที่มีประจุบวกเกิดขึ้นอิเล็กตรอนทั้งหมดจะวิ่งไปยังแอโนด ส่วนอนุภาคที่มีประจุบวกจะวิ่งไปยังแคโทด เนื่องจากอะตอมของแก๊สแต่ละชนิดมีมวลไม่เท่ากัน จึงทำให้มีค่าประจุต่อมวลของอนุภาคบวกของแก๊สแต่ละชนิดมีค่าแตกต่างกัน
          รอเบิร์ต แอนดรูส์ มิลลิแกน นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้ทดลองหาค่าประจุของอิเล็กตรอนเมื่อปี พ.ศ.2451  และพบว่าอิเล็กตรอนมีประจุเท่ากับ   \displaystyle 1.60x10^{ - 19} คูลอมบ์ และคำนวณหามวลได้เท่ากับ  \displaystyle 9.11x10^{ - 28} กรัม  ซึ่งเป็นค่าน้อยมาก

          ผลการทดลองของทอมสันและโกลด์ชไตน์ พร้อมทั้งข้อเสนอเกี่ยวกับแบบจำลองอะตอมของทอมสัน นับเป็นก้าวสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องอะตอมต่อจากดอลตัน และถือได้ว่าทอมสันเป็นคนแรกที่เสนอรายละเอียดภายในอะตอม ซึ่งทำให้ได้มโนภาพของอะตอมชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาแบบจำลองอะตอมของทอมสันก็ไม่สามารถใช้อธิบายโครงสร้างของอะตอมได้อย่างครอบคลุมนักเรียนคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด
 

1.1.3  แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด

          ลอร์ดเออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ และฮันส์ ไกเกอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันได้ศึกษาและพิสูจน์แบบจำลองอะตอมของทอมสันเมื่อปี พ.ศ.2454  โดยการยิงอนุภาคแอลฟาไปยังแผ่นทองคำบางๆ และใช้ฉากเรืองแสงที่เคลือบด้วยซิงค์ซัลไฟด์โค้งเป็นวงล้อมรอบแผ่นทองคำเพื่อตรวจจับอนุภาคแอลฟา จากผลการทดลองพบว่าส่วนใหญ่จะเกิดการเรืองแสงบนฉากที่อยู่บริเวณด้านหลังของแผ่นทองคำ มีบางครั้งเกิดการเรืองแสงบริเวณด้านหลัง และมีการเรืองแสงบริเวณด้านหน้าของแผ่นทองคำด้วยแต่น้อยครั้งมาก ดังรูป 1.7

 


รูป 1.7  การทดลองของรัทเทอร์ฟอร์ด


          จากผลการทดลองนี้ ถ้าอธิบายตามแบบจำลองอะตอมของทอมสัน อนุภาคแอลฟาซึ่งมีประจุบวกน่าจะผลักกับโปรตอนทำให้เกิดการเบี่ยงเบนไปจากแนวเส้นตรงได้บ้าง แต่ไม่น่าจะมีอนุภาคสะท้อนกลับมากระทบฉากบริเวณด้านหน้าได้ ดังนั้นรัทเทอร์ฟอร์ดจึงอธิบายลักษณะภายในอะตอมว่า การที่อนุภาคแอลฟาวิ่งผ่านแผ่นทองคำไปได้เป็นส่วนใหญ่ แสดงว่าภายในอะตอมต้องมีที่ว่างอยู่เป็นบริเวณกว้าง การที่อนุภาคแอลฟาบางอนุภาคเบี่ยงเบนหรือสะท้อนกลับมาบริเวณด้านหน้าของฉากเรืองแสง แสดงว่าบริเวณตรงกลางของอะตอมน่าจะมีอนุภาคที่มีประจุบวกและมีมวลสูงมากกว่าอนุภาคแอลฟา รัทเทอร์ฟอร์ดได้เสนอแบบจำลองอะตอมใหม่ว่า อะตอมประกอบด้วยนิวเคลียสที่มีขนาดเล็กมากอยู่ตรงกลางและมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก โดยมีอิเล็กตรอนวิ่งอยู่รอบๆ ดังรูป 1.8
 

รูป  1.8  แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด


           - แบบจำลองที่รัทเทอร์ฟอร์ดเสนอขึ้นใหม่ใช้อธิบายผลการทดลองได้อย่างไร

           ตามแบบจำลองของรัทเทอร์ฟอร์ด นิวเคลียสของอะตอมซึ่งอยู่ตรงกลางมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาดของอะตอม อนุภาคแอลฟาจึงมีโอกาสชนนิวเคลียสได้น้อยมากส่วนอิเล็กตรอนที่อยู่รอบนิวเคลียสมีมวลน้อยมาก การชนกับอิเล็กตรอนจึงไม่มีผลทำให้ทิศทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคแอลฟาเปลี่ยนไป อนุภาคส่วนใหญ่จึงวิ่งผ่านทะลุแผ่นทองคำไปเป็นแนวตรง มีบางครั้งที่อนุภาคแอลฟาวิ่งเฉียดนิวเคลียสซึ่งจะถูกประจุของนิวเคลียสผลักให้เบนไปจากแนวเส้นตรงส่วนอนุภาคแอลฟาที่วิ่งตรงไปยังนิวเคลียสซึ่งมีมวลมากก็จะถูกผลักให้สะท้อนกลับ ดังแสดงในรูป 1.9
 

รูป  1.9  การใช้แบบจำลองอธิบายผลการทดลองของรัทเทอร์ฟอร์ด


          ตามแนวคิดของรัทเทอร์ฟอร์ดจะพบว่ามวลส่วนใหญ่ของอะตอมคือมวลของนิวเคลียสนั่นเอง ส่วนอิเล็กตรอนถึงแม้จะเป็นส่วนประกอบที่ทำให้อะตอมมีขนาดใหญ่แต่ก็มีมวลน้อย จนถือว่าไม่มีผลต่อมวลของอะตอม

           - แนวคิดเกี่ยวกับแบบจำลองอะตอมของดอลตันทอมสัน และรัทเทอร์ฟอร์ด แตกต่างกันอย่างไร

1.1.3.1  อนุภาคมูลฐานของอะตอม
          จากการศึกษารายละเอียดภายในอะตอม ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทราบว่าอะตอมประกอบด้วยอิเล็กตรอนและโปรตอน ตามแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดมวลของอะตอมคือมวลของนิวเคลียส ถ้านิวเคลียสประกอบด้วยโปรตอนเพียงชนิดเดียว มวลของนิวเคลียสน่าจะเท่ากับมวลของโปรตอนรวมกัน แต่จากผลการทดลองพบว่าธาตุต่างๆ มีมวลของอะตอมมากกว่ามวลของโปรตอนรวมกัน เช่น ธาตุคาร์บอนมีมวลของโปรตอนรวมกัน 6 หน่วย แต่มวลของอะตอมมีค่า 12 หน่วย นอกจากนี้ยังพบว่ามวลของธาตุส่วนใหญ่มีค่าเป็น 2 เท่าหรือมากกว่า 2 เท่าหรือมากกว่า 2 เท่าของมวลโปรตอนทั้งหมดรวมกัน รัทเทอร์ฟอร์ดจึงสันนิษฐานว่าน่าจะมีอนุภาคอีกชนิดหนึ่งอยู่ในนิวเคลียส อนุภาคนี้ควรมีมวลใกล้เคียงกับมวลของโปรตอนและเป็นกลางทางไฟฟ้า
          ทอมสันได้ทดลองเพื่อศึกษาหามวลของอนุภาคบวกของแก๊สนีออนที่บรรจุในหลอดรังสีแคโทดเมื่อปี พ.ศ. 2456 พบว่าอนุภาคบวดมีมวล 2 ค่าคือ 20 และ 22  หน่วย แสดงว่านีออนประกอบด้วยอะตอม 2 ชนิดที่มีมวลไม่เท่ากัน ผลการทดลองนี้เป็นข้อมูลอีกประการหนึ่งที่สนับสนุนข้อเสนอของรัทเทอร์ฟอร์ดที่ว่ามีอนุภาคอีกชนิดหนึ่งในนิวเคลียสที่มีมวลใกล้เคียงกับโปรตอนแต่ไม่มีประจุ และในอะตอมชนิดเดียวกันอาจมีอนุภาคชนิดนี้ไม่เท่ากัน
          ต่อมาในปี พ.ศ. 2475  เซอร์เจมส์ แชดวิกนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้ทดลองยิงอนุภาคแอลฟาไปยังอะตอมของธาตุต่างๆ และทดสอบผลการทดลองด้วยเครื่องมือที่มีความเที่ยงตรงสูง ทำให้มั่นใจว่าในนิวเคลียสมีอนุภาคที่เป็นกลางทางไฟฟ้าอยู่จริงและเรียกว่า นิวตรอน การค้นพบนิวตรอนช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับนิวเคลียสของอะตอมชัดเจนขึ้น ทำให้ทราบว่าอะตอมประกอบด้วยอนุภาคที่สำคัญสามชนิด คือ อิเล็กตรอน โปรตอน และนิวตรอน  อนุภาคทั้งสามชนิดนี้เรียกว่า อนุภาคมูลฐานของอะตอม ซึ่งมีสมบัติดังแสดงในตาราง 1.1  

ตาราง 1.1  อนุภาคมูลฐานของอะตอม
อนุภาคสัญลักษณ์ประจุไฟฟ้า
 (คูลอมบ์)   
ชนิดประจุไฟฟ้ามวล
 (กรัม)
อิเล็กตรอนe \displaystyle 1.602x10^{ - 19} -1 \displaystyle 9.109x10^{ - 28}
โปรตอนp \displaystyle 1.602x10^{ - 19} +1 \displaystyle 1.673x10^{ - 24}
นิวตรอน   n 0 0 \displaystyle 1.675x10^{ - 24}

         

           - จากข้อมูลในตาราง นักเรียนบอกได้หรือไม่ว่าอิเล็กตรอน โปรตอน และนิวตรอน มีสมบัติใดคล้ายคลึงกัน และอนุภาคชนิดใดบ้างที่มีผลต่อมวลของอะตอม

1.1.3.2  เลขอะตอม เลขมวล และไอโซโทป
          จากผลงานของนักวิทยาศาสตร์ ทำให้ทราบว่าอะตอมประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอนรวมกันเป็นนิวเคลียสของอะตอม โดยมีอิเล็กตรอนซึ่งมีจำนวนเท่ากับจำนวนโปรตอนเคลื่อนที่อยู่รอบนิวเคลียส อะตอมของธาตุแต่ละชนิดมีจำนวนโปรตอนเฉพาะตัวไม่ซ้ำกับธาตุอื่นๆ ตัวเลขที่แสดงจำนวนโปรตอนเรียกว่า เลขอะตอม (Z) เนื่องจากมวลของอะตอมส่วนใหญ่เป็นมวลของนิวเคลียสที่ประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอน จึงเรียกผลรวมของจำนวนโปรตอนและนิวตรอนว่า เลขมวล (A) เช่น คาร์บอน มีจำนวนโปรตอน 6 จึงมีเลขอะตอมเท่ากับ 6 และมีจำนวนนิวตรอน 6 และ 7 จึงมีเลขมวลเป็น 12 และ 13 ตามลำดับ
          อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันที่เป็นกลางทางไฟฟ้าจะมีจำนวนโปรตอนและอิเล็กตรอนเท่ากัน แต่จำนวนนิวตรอนอาจมีได้หลายค่า ทำให้อะตอมของธาตุเดียวกันมีมวลต่างกัน เฟรเดอริก ซอดดี นักเคมีชาวอังกฤษ เรียกอะตอมของธาตุเดียวกันที่มีเลขมวลต่างกันว่า ไอโซโทป ธาตุชนิดหนึ่งอาจมีหลายไอโซโทป บางไอโซโทปมีอยู่ในธรรมชาติและบางไอโซโทปได้จากการสังเคราะห์ เช่น ไฮโดรเจน มี 3 ไอโซโทป มีเลขมวล 1  2  และ 3  มีชื่อเฉพาะว่า โปรเทียมดิวทีเรียม และ ทริเทียม ไฮโดรเจนที่เกิดในธรรมชาติมีปริมาณโปรเทียมอยู่ถึงร้อยละ 99.99 ส่วนดิวทีเรียมมีปริมาณน้อยมาก สำหรับทริเทียมเป็นไอโซโทปกัมมันตรังสี
          สัญลักษณ์ของธาตุที่เขียนโดยแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนอนุภาคมูลฐานของอะตอม เรียกว่า สัญลักษณ์นิวเคลียร์  วิธีเขียนที่ตกลงกันเป็นสากลเป็นดังนี้

          เขียนเลขอะตอมไว้มุมล่างซ้ายและเลขมวลไว้มุมบนซ้ายของสัญลักษณ์ เช่น ไฮโดรเจน เขียนสัญลักษณ์นิวเคลียร์ได้เป็น \displaystyle {}_1^1 H{}_1^2 H และ \displaystyle {}_1^3 H ตามลำดับ คาร์บอนมีเลขอะตอม 6 มี 3 ไอโซโทป ซึ่งมีเลขมวล 12    13   และ  14  สัญลักษณ์นิวเคลียร์จึงเป็น \displaystyle {}_6^{12} C{}_6^{13} C  และ \displaystyle {}_6^{14} C สัญลักษณ์นิวเคลียร์ของไอโซโทปต่างๆ อาจเขียนอย่างย่อโดยเขียนเฉพาะสัญลักษณ์ของธาตุกับเลขมวลก็ได้ เช่น ไอโซโทปของ H จะเขียนเป็น \displaystyle {}^1H{}^2H  และ \displaystyle {}^3H สำหรับ C จะเขียนเป็น \displaystyle {}^{12}C{}^{13}C  และ \displaystyle {}^{14}C


แบบฝึกหัด 1.1

1. จงหาจำนวนของอิเล็กตรอนที่มีมวลรวม 1  กรัม

2.  จงหามวลของอิเล็กตรอนจำนวน \displaystyle 12.04x10^{23} อิเล็กตรอน

3.  ถ้าโมเลกุลของน้ำประกอบด้วยไฮโดรเจน  2  อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอม เขียนสูตรแสดงได้เป็น \displaystyle H_2 Oเมื่อไฮโดรเจนคือโปรเทียม จงเขียนสูตรของน้ำโดยแทนอะตอมของไฮโดรเจนด้วยดิวทิเรียมและทริเทียม

4.  จงเขียนสัญลักษณ์นิงเคลียร์ของไอโซโทปต่างๆ ของธาตุ X ซึ่งมี 9 อิเล็กตรอน และมีนิวตรอน 9  10  และ  11

5.  ไอโซโทปของธาตุชนิดหนึ่งมีประจุในนิวเคลียสเป็น 3 เท่าของประจุในนิวเคลียสของไฮโดรเจนและมีเลขมวลเป็น 7 เท่าของเลขมวลไฮโดรเจน ไอโซเทปนี้จะมีอนุภาคมูลฐานอย่างละเท่าใด

1.1.4  แบบจำลองอะตอมของโบร์
          เนื่องจากแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดไม่ได้อธิบายว่าอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสอยู่ในลักษณะใดนักวิทยาศาสตร์จึงหาวิธีทดลองเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของอิเล็กตรอนแล้วนำมาสร้างเป็นแบบจำลองวิธีการหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการหาข้อมูลคือ การศึกษาสเปกตรัมของสารประกอบและธาตุซึ่งจะได้ศึกษาต่อไป
1.1.4.1  คลื่นและสมบัติของคลื่นแสง
          คลื่นชนิดต่างๆ เช่น คลื่นแสง คลื่นเสียง มีสมบัติที่สำคัญ 2 ประการคือ ความยาวคลื่น  (ดูรูป 1.10) ซึ่งหมายถึงระยะทางที่คลื่นเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ มีหน่วยเป็นเมตร (m) หรือหน่วยย่อยของเมตร เช่น นาโนเมตร (m) และ ความถี่ของคลื่น หมายถึง จำนวนรอบของคลื่นที่เคลื่อนที่ผ่านจุดใดจุดหนึ่งในเวลา 1 วินาที ความถี่ของคลื่นจึงมีหน่วยเป็นจำนวนรอบต่อวินาที  

 
รูป 1.10 คลื่นและความยาวคลื่น

          คลื่นแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่และความยาวคลื่นต่างๆ กัน ดังรูป 1.1
 
รูป 1.11 สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

          แสงที่ประสาทตาของมนุษย์สามารถรับรู้ได้เรียกว่าแสงที่มองเห็นได้ ซึ่งมีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 400 - 700 นาโนเมตร แสงในช่วงคลื่นนี้จะประกอบด้วยแสงสีต่างๆ กัน ตามปกติประสาทตาของมนุษย์สามารถสัมผัสแสงบางช่วงคลื่นที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์ได้ แต่ไม่สามารถแยกเป็นสีต่างๆ ได้ จึงมองเห็นเป็นสีรวมกันซึ่งเรียกว่า แสงขาว
           - นักเรียนคิดว่าเราสามารถแยกแสงขาวออกเป็นแสงสีอื่นๆ ได้หรือไม่ อย่างไร

1.1.4.2 สเปกตรัม
          ถ้าให้แสงอาทิตย์ซึ่งเป็นแสงขาวส่องผ่านปริซึมแสงขาวจากดวงอาทิตย์จะแยกออกเป็นแสงสีรุ้งต่อเนื่องกันเรียกว่า แถบสเปกตรัมของแสงขาว (ดูรูป 1.12)

 
รูป 1.12  การหักเหของแสงขาวเมื่อผ่านปริซึม

          ปรากฎการณ์นี้อธิบายได้ว่าเมื่อแสงเดินทางจากอากาศผ่านตัวกลางชนิดหนึ่งจะเกิดการหักเห ดังนั้นเมื่อแสงขาวส่องผ่านปริซึม แสงที่มีความยาวคลื่นต่างกันจะหักเหผ่านปริซึมได้ไม่เท่ากัน เกิดเป็นแถบสีรุ้งต่อเนื่องกันแสงสีรุ้งเหล่านี้มีความยาวคลื่นดังตาราง 1.2

ตาราง 1.2 แสงสีต่างๆ ในแถบสเปกตรัมของแสงขาว
 
สเปกตรัมความยาวคลื่น (nm)
แสงสีม่วง
แสงสีคราม - น้ำเงิน
แสงสีเขียว
แสงสีเหลือง
แสงสีแสด (ส้ม)
แสงสีแดง
400-420
420-490
580-590
590-650
590-650
650-700



          คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นในช่วงอื่นก็เกิดการหักเหได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มักซ์ พลังค์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันได้ศึกษาพลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับความถี่ของคลื่นนั้นว่า พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความถี่ของคลื่น ดังความสัมพันธ์ต่อไปนี้
                                            E   =  h V
          เมื่อ    E     คือพลังงาน มีหน่วยเป็น จูล
          h    คือค่าคงที่ของพลังค์ มีค่า \displaystyle 6.626x10^{ - 34} จูลวินาที
          V    คือความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์
                    นอกจากนี้ความถี่ของคลื่นยังมีความสัมพันธ์กับความยาวคลื่นดังต่อไปนี้
                                                        \displaystyle V = \frac{c}{\lambda }
          เมื่อ c  คือความเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในสูญญากาศ ซึ่งเท่ากับ \displaystyle 2.997x10^8 เมตรต่อวินาที (อาจใช้ \displaystyle 3.0x10^8 เมตรต่อวินาที) และ \displaystyle \lambda คือความยาวคลื่น ดังนั้นค่าพลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจึงคำนวนได้จากความสัมพันธ์ดังนี้
                                                        \displaystyle E = \frac{{hc}}{\lambda }
           - จากข้อมูลในตาราง 1.2 แสงสีใดมีพลังงานสูงสุดและแสงสีใดมีพลังงานต่ำสุด

          นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าถ้าเผาสารประกอบของโลหะชนิดต่างๆ ก็จะได้สีเปลวไฟแตกต่างกัน เช่น เผาสารประกอบของโซเดียมจะได้เปลวไฟสีเหลือง สารประกอบของแคลเซียมได้เปลวไฟสีแดงอิฐ ต่อมาบุนเซนและกุสตาฟ คีร์ชฮอฟฟ์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ผลิตสเปกโทรสโคป ซึ่งต่อมาได้ใช้เป็นอุปกรณ์สำคัญในการศึกษาสเปกตรัมที่ได้จากการเผาสารประกอบ ทำให้สามารถหาธาตุองค์ประกอบที่อยู่ในสารประกอบได้
          1.1.4.3 สเปกตรัมของธาตุและการแปลความหมาย
           จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ในเรื่องสเปกรัมของธาตุ ช่วยให้ทราบว่าธาตุต่างชนิดกันจะให้สเปกตรัมต่างกัน ในตอนนี้นักเรียนจะได้ศึกษาสเปกตรัมของธาตุบางชนิดจากการทดลองต่อไปนี้

การทดลอง 1.1 การศึกษาสีของเปลวไฟจากสารประกอบและเส้นสเปกตรัมของธาตุบางชนิด
ตอนที่ 1 สีของเปลวไฟจากสารประกอบบางชนิด
          1.  ล้างลวดนิโครมในกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้นแล้วเผาให้ร้อน ทำซ้ำอีกหลายครั้งจนลวดนิโครมสะอาด ซึ่งสังเกตได้จากสีของเปลวไฟไม่เปลี่ยนแปลง
          2.  จุ่มลวดนิโครมที่สะอาดในกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น แล้วนำไปแตะผงโซเดียมคลอไรด์ที่บดละเอียด และเผาในเปลวไฟโดยตรง สังเกตุสีของเปลวไฟ
          3.  ทำการทดลองเช่นเดียวกับข้อ 1 และ 2 โดยใช้สารชนิดอื่นแทนโซเดียมคลอไรด์

ตอนที่  2 เส้นสเปกตรัมของธาตุบางชนิด
          1.  ใช้แผ่นเกรตติงส่องดูแสงอาทิตย์ (ห้ามส่องดูดวงอาทิตย์โดยตรง) ส่งเกตสิ่งที่ปรากฎ แล้วส่องดูแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ เปรียบเทียบสีที่สังเกตได้จากการดูแสงทั้งสองแหล่ง
           2.  ต่อหลอดบรรจุแก๊สไฮโดรเจนเข้ากับวงจรไฟฟ้าให้ครบวงจร ดังรูป 1.13 ใช้กระดาษสีดำบังทางด้านหลัง แล้วใช้แผ่นเกรตติงส่องดูที่หลอดบรรจุแก๊สไฮโดรเจนขณะที่กำลังเรืองแสง สังเกตเส้นสเปกตรัมที่ปราก
           3.  ทำการทดลองเช่นเดียวกับข้อ 2 แต่เปลี่ยนหลอดบรรจุแก๊สไฮโดรเจนเป็นหลอดบรรจุแก๊สนีออนและไอปรอท สังเกตเส้นสเปกตรัมที่ปรากฎ


 
รูป 1.13  การจัดอุปกรณ์เพื่อศึกษาเส้นสเปกตรัมของธาตุ


          -  เมื่อเผาสารประกอบของโลหะชนิดเดียวกัน จะให้เปลวไฟสีเดียวกันหรือไม่ และสีของเปลวไฟที่ปรากฎนั้นเป็นสีที่เกิดจากองค์ประกอบใดในสารประกอบ
          -  สเปกตรัมที่เห็นจากการใช้แผ่นเกรตติงส่องดูแสงอาทิตย์กับแสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ เหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร เพราะเหตุใด
          -  เส้นสเปกตรัมของแก๊สไฮโดรเจน แก๊สนี้ออนและไอปรอทแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร

          จากผลการทดลองคงสังเกตเห็นว่าสเปกตรัมจากแสงอาทิตย์มีแสงสีต่อเนื่องกันเป็น แถบสเปกตรัม ส่วนสเปกตรัมที่มองเห็นจากหลอดฟลูออเรสเซนต์นอกจากจะมองเห็นแถบสเปกตรัมของสีต่างๆ เป็นพื้นแล้ว ยังมีเส้นสีต่างๆ ปรากฎในแถบสเปกตรัมด้วย และจากการสังเกตสเปกตรัมของแก๊สไฮโดรเจน นีออน  และไอปรอท พบว่าธาตุแต่ละชนิดให้สเปกตรัมที่มีแสงสีต่างกันและมีจำนวนเส้นสีเฉพาะตัวเส้นสีต่างๆ นี้เรียกว่า เส้นสเปกตรัม (ดูรูป 1.14) 
          นักเรียนเคยทราบมาแล้วว่า การสังเกตใดๆ ที่อาศัยประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียวอาจได้ผลคลาดเคลื่อนจากความจริง เช่น การดูสีของเปลวไฟด้วยตาเปล่าอาจมองเห็นสีได้ไม่ชัดเจนและบอกไม่ได้ว่าเป็นสีจากธาตุใด ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงใช้วิธีตรวจเส้นสเปกตรัมของธาตุแทนการดูสีของเปลวไฟด้วยตาเปล่า
          จากการทดลองเมื่อเผาสารประกอบของโลหะชนิดเดียวกันจะสังเกตเห็นสีของเปลวไฟเป็นสีเดียวกันเสมอจึงอาจกล่าวได้ว่าสีของเปลวไฟเกิดจากองค์ประกอบที่เป็นโลหะในสารประกอบชนิดนั้น สำหรับสารที่เป็นแก๊สอาจตรวจสเปกตรัมได้โดยบรรจุแก๊สในหลอดแก้วที่มีความดันต่ำและใช้พลังงานไฟฟ้าแทนการเผา เมื่อธาตุเหล่านั้นได้รับพลังงานก็จะเปล่งแสงเป็นสีต่างๆ หลายสี เมื่อสีเหล่านั้นรวมกันแล้วจะสังเกตเห็นเป็นสีเดียวซึ่งตาของเราไม่สามารถบอกความแตกต่างได้ แต่เมื่อใช้แผ่นเกรตติงส่องดูก็จะเห็นเส้นสเปกตรัมของแต่ละธาตุที่มีลักษณะไม่เหมือนกัน นักเรียนบอกได้หรือไม่ว่าเส้นสเปกตรัมเกิดขึ้นได้อย่างไร
          ปรากฎการณ์นี้อธิบายได้ว่าอิเล็กตรอนซึ่งเคลื่อนที่อยู่รอบนิวเคลียสมีพลังงานเฉพาะตัวอยู่ในระดับพลังงานต่ำกล่าวได้ว่าอะตอมอยู่ใน สถานะพื้น เมื่ออะตอมได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นทำให้อิเล็กตรอนถูกกระตุ้นให้มีพลังงานสูงขึ้นเรียกว่าอะตอมอยู่ใน สถานะกระตุ้น ที่สถานะนี้อะตอมจะไม่เสถียรเนื่องจากมีพลังงานสูง อิเล็กตรอนจึงคายพลังงานออกมาส่วนหนึ่งเพื่อลดพลังงานออกจากอะตอมแล้วกลับเข้าสู่ระดับที่มีพลังงานต่ำกว่าในสถานะกระตุ้น ซึ่งจะทำให้อะตอมเสถียรมากขึ้น พลังงานส่วนใหญ่ที่คายออกมาจะปรากฎในรูปพลังงานแสง ถ้าแสงสีเหล่านี้แยกออกจากกันอย่างชัดเจนจะปรากฎเป็นเส้นสเปกตรัม (ดูรูป 1.14) แต่ถ้าแสงสีที่ปรากฎออกมาเป็นลักษณะต่อเนื่องกันเช่นเดียวกับรุ้งกินน้ำ หรือจากไส้หลอดไฟฟ้าซึ่งเป็นโลหะร้อนและมีอะตอมอยู่กันอย่างหนาแน่น จะให้สเปกตรัมเป็นแถบสเปกตรัมซึ่งยากแก่การวิเคราะห์และแปลผล
 

รูป 1.14 เส้นสเปกตรัมของธาตุบางธาตุ


          การเปลี่ยนแปลงพลังงานของอิเล็กตรอนระหว่างสถานะพื้นกับสถานะกระตุ้น อาจเปรียบเทียบได้กับการขึ้นบันได ดังรูป 1.15 เราทราบแล้วว่าพลังงานศักย์ ณ บันได แต่ละขั้นมีค่าไม่เท่ากัน ขณะที่ยืนอยู่บนบันไดขั้นต่ำจะมีพลังงานศักย์ต่ำกว่าเมื่อยืนอยู่บนขั้นสูง ผลต่างของพลังงานระหว่างบันไดสองขั้นมีค่าเฉพาะตัวที่แน่นอน และผลต่างระหว่างพลังงานของขั้นบันไดที่อยู่ห่างกันมากก็จะมีค่ามากเช่น ผลต่างของพลังงานระหว่างขั้นที่ 1 กับขั้นที่ 3 มีค่ามากกว่าผลต่างของพลังงานระหว่างขั้นที่ 1 กับขั้นที่ 2 หรืออาจสรุปได้ว่าผลต่างของพลังงานศักย์ระหว่างขั้นบันไดจะมีค่าเฉพาะตัวและขึ้นอยู่กับความแตกต่างของความสูงของขั้นบันได
 

รูป 1.15  การขึ้นบันได


              สำหรับการขึ้นบันไดนั้นเราจะต้องก้าวขึ้นอย่างน้อยทีละขั้น การก้าวขึ้นทีละครึ่งขั้นจะทำให้ยังคงอยู่บนขั้นเดิมเนื่องจากไม่มีที่พักเท้าระหว่างขั้นบันได อย่างไรก็ตามเราไม่จำเป็นต้องขึ้นบันไดทีละขั้นเสมอไป บางคนอาจจะขึ้นจากขั้นที่ 1 ไปขั้นที่ 3 หรือจากขั้นที่ 1 ไปขั้นที่ 4 ก็ได้ ถ้าข้ามขั้นมากพลังงานที่เปลี่ยนแปลงก็จะมีค่ามาก
          นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาสเปกตรัมของแก๊ส เพราะว่ามีอะตอมอยู่ห่างกัน และใช้อะตอมไฮโดรเจนเนื่องจากมี 1 อิเล็กตรอน พบว่ามีเส้นสเปกตรัมที่ปรากฎ ในช่วงคลื่นที่มองเห็นได้โดยมีความยาวคลื่น  410    434    486   และ  656  นาโนเมตร ตามลำดับ นอกจากนี้การศึกษาเส้นสเปกตรัมของอะตอมของธาตุอื่นๆ ก็พบว่าอิเล็กตรอนในอะตอมของแต่ละธาตุคายพลังงานได้บางค่า และมีเส้นสเปกตรัมเฉพาะตัวไม่ซ้ำกัน ดังรูป 1.14 นักเรียนบอกได้หรือไม่ว่าพลังงานของเส้นสปกตรัมแต่ละเส้นของอะตอมไฮโดรเจนมีค่าเท่าไรและเส้นสเปกตรัมใดมีพลังงานต่ำที่สุด
          การที่นักวิทยาศาสตร์ใช้อะตอมของไฮโดรเจนเป็นตัวอย่างในการแปลความหมายของเส้นสเปกตรัม เพราะเป็นอะตอมที่มีอิเล็กตรอนเดียว จากการทดลองหลายครั้งพบว่าอะตอมของไฮโดรเจนให้เส้นสเปกตรัมได้หลายเส้นที่มีลักษณะเหมือนกันทุกครั้ง จึงสรุปได้ว่าอิเล็กตรอนในอะตอมของไฮโดรเจนขึ้นไปอยู่ในสถานะกระตุ้นที่มีพลังงานแตกต่างกันได้หลายระดับ ค่าพลังงานของเส้นสเปกตรัมแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนในอะตอมจากระดับพลังงานสูงมายังระดับพลังงานต่ำดังรูป 1.16

 
รูป 1.16  การเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนในอะตอมของไฮโดรเจน


          เนื่องจากเราเปรียบเทียบระดับพลังงานของอิเล็กตรอนเหมือนขั้นบันได โดยทั่วไประยะระหว่างบันไดแต่ละขั้นจะเท่ากัน นักเรียนคิดว่าการเปรียบเทียบเช่นนั้นถูกต้องหรือไม่และความมแตกต่างของพลังงานของอิเล็กตรอนระหว่างระดับพลังงานที่อยู่ถัดกันมีค่าเท่ากันตลอดหรือไม่

ตาราง 1.3  ผลต่างระหว่างพลังงานของเส้นสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน

 


          จากข้อมูลในตาราง 1.3  แสดงว่าอะตอมของไฮโดรเจนมีพลังงานหลายระดับและความแตกต่างระหว่างพลังงานของแต่ละระดับที่อยู่ถัดไปก็ไม่เท่ากัน ความแตกต่างของพลังงานจะมีค่าน้อยลงเมื่อระดับพลังงานสูงขึ้น จากเหตุผลที่อธิบายมานี้ช่วยสรุปได้ว่า
          1.  เมื่ออิเล็กตรอนได้รับพลังงานในปริมาณที่เหมาะสม อิเล็กตรอนจะขึ้นไปอยู่ในระดับพลังงานที่สูงกว่าระดับพลังงานเดิม แต่จะอยู่ในระดับใดขึ้นกับปริมาณพลังงานที่ได้รับ การที่อิเล็กตรอนขึ้นไปอยู่ในระดับพลังงานใหม่ทำให้อะตอม อิเล็กตรอนจะกลับมาอยู่ในระดับพลังงานที่ต่ำกว่า ซึ่งในการเปลี่ยนตำแหน่งนี้อิเล็กตรอนจะคายพลังงานออกมา การดูดหรือคายพลังงานจะต้องมีค่าเฉพาะตามทฤษฎีของพลังค์ โดยค่าต่ำสุดจะเท่ากับความถี่ของอิเล็กตรอนนั้นคูณด้วยค่าคงที่ของพลังค์ ดังที่กล่าวมาแล้ว
          2.  การเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปยังระดับพลังงานที่อยู่ติดกัน อาจมีการเปลี่ยนข้ามระดับได้ แต่เมื่ออิเล็กตรอนรับพลังงานแล้วจะขึ้นไปอยู่ระหว่างระดับพลังงานไม่ได้ จะต้องขึ้นไปอยู่ในระดับใดระดับหนึ่งเสมอ
          3. ผลต่างของพลังงานระหว่างระดับพลังงานต่ำ จะมีค่ามากกว่าผลต่างของพลังงานระหว่างระดับพลังงานที่สูงขึ้นไป
          จากความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงระดับพลังงานของอิเล็กตรอนและการเกิดสเปกตรัม ช่วยให้นีลส์ โบร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเดนมาร์ก สร้างแบบจำลองอะตอมเพื่อใช้อธิบายพฤติกรรมของอิเล็กตรอนในอะตอมได้ โดยกล่าวว่า อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่รอบนิวเคลียสเป็นวงคล้ายกับวงโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ แต่ละวงจะมีระดับพลังงานเฉพาะตัว ระดับพลังงานของอิเล็กตรอนที่อยู่ใกล้นิวเคลียสที่สุดซึ่งมีพลังงานต่ำที่สุดเรียกว่าระดับ K และระดับพลังงานที่อยู่ถัดออกมาเรียกเป็น L  M   N... ตามลำดับ(ดังรูป 1.17)  ต่อมาได้มีการใช้ตัวเลขแสดงถึงระดับพลังงานของอิเล็กตรอน คือ n=1 หมายถึงระดับพลังงานที่  1  ซึ่งอยู่ใกล้กับนิวเคลียสที่สุด และชั้นถัดออกมาเป็น n=2 หมายถึงระดับพลังงานที่  2  ต่อจากนั้น n=3   4 ... หมายถึงระดับพลังงานที่ 3   4  และสูงขึ้นไปตามลำดับ
 
รูป  1.17  แบบจำลองอะตอมของโบร์แสดงระดับพลังงานของอิเล็กตรอน

          แบบจำลองอะตอมของโบร์ พัฒนามาจากการค้นพบสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน ซึ่งเป็นอะตอมที่มี  1  อิเล็กตรอน แต่ไม่สามารถใช้อธิบายอะตอมที่มีหลายอิเล็กตรอนได้ นักวิทยาศาสตร์จึงจำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อเสนอแบบจำลองอะตอมใหม่

แบบฝึกหัด 1.2
1.  เส้นสเปกตรัมสีแดงของโพแทสเซียมมีความถี่ \displaystyle 3.91x10^{14} Hz จะมีความยาวคลื่นเป็นเท่าใด
2.  เส้นสเปกตรัมเส้นหนึ่งของธาตุซีเซียมมีความยาวคลื่น 456 nm ความถี่ของสเปกตรัมเส้นนี้มีค่าเป็นเท่าใด และปรากฎเป็นสีใด
3.  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่น 300 nm จะปรากฎในช่วงคลื่นของแสงที่มองเห็นได้หรือไม่ มีความถี่และพลังงานเท่าใด
4.  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ \displaystyle 8.5x10^{14} Hz  จะมีพลังงานและความยาวคลื่นเท่าใด
5.  เหตุใดเส้นสเปกตรัมของธาตุไฮโดรเจนจึงมีหลายเส้นทั้งๆ ที่เป็นธาตุที่มีเพียง 1 อิเล็กตรอน

1.1.5  แบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก
          เนื่องจากแบบจำลองอะตอมของโบร์มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถใช้อธิบายสเปกตรัมของอะตอมที่มีหลายอิเล็กตรอนได้ นักวิทยาศาสตร์จึงได้ศึกษาเพิ่มเติมจนได้ข้อมูลเพียงพอที่จะเชื่อว่าอิเล็กตรอนมีสมบัติเป็นทั้งอนุภาคและคลื่น โดยเคลื่อนที่รอบนิวเคลียสในลักษณะของคลื่นนิ่งบริเวณที่พบอิเล็กตรอนพบได้หลายลักษณะเป็นรูปทรงต่างๆ ตามระดับพลังงานของอิเล็กตรอน จากการใช้ความรู้ทางกลศาสตร์ควอนตัมสร้างสมการขึ้นเพื่อคำนวณหาโอกาสที่จะพบอิเล็กตรอนในระดับพลังงานต่างๆ พบว่าแบบจำลองนี้สามารถอธิบายเส้นสเปกตรัมของธาตุได้ถูกต้องกว่าแบบจำลองอะตอมของโบร์
          อิเล็กตรอนมีขนาดเล็กมากและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วตลอดเวลาไปทั่วทั้งอะตอม จึงไม่สามารถบอกตำแหน่งที่แน่นอนของอิเล็กตรอนได้ อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์พบว่ามีโอกาสที่จะพบอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสบางบริเวณเท่านั้น ทำให้สร้างมโนภาพได้ว่าอะตอมประกอบด้วยกลุ่มหมอกทึบแสดงว่ามีโอกาสที่จะพบอิเล็กตรอนได้มากกว่าบริเวณที่มีกลุ่มหมอกจาง ดังรูป 1.18 (แต่ละจุดคือ 1 โอกาสที่จะพบอิเล็กตรอน)

 
รูป 1.18  ภาพ 2 มิติแสดงกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนของไฮโดรเจนอะตอมที่มี 1 อิเล็กตรอน


           แบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอกที่แสดงถึงความหนาแน่นของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสทำได้ยาก โดยทั่วไปจึงคิดถึงอะตอมในลักษณะทรงกลมและใช้ลูกกลม เช่น ลูกปิงปอง หรือลูกกลมพลาสติกเป็นแบบจำลองแทนอะตอมของธาตุ แต่นักเรียนควรระลึกไว้เสมอว่าการใช้แบบจำลองเช่นนี้เพียงเพื่อช่วยให้เกิดจินตนาการได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
          โครงสร้างอะตอมตามแบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอกสามารถใช้อธิบายสมบัติต่างๆ ของอะตอมได้อย่างกว้างขวาง แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ข้อยุติในการศึกษาทดลองเกี่ยวกับอะตอม เพราะเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดไป ดังนั้นในอนาคตจึงอาจมีแบบจำลองอะตอมใหม่ที่ใช้อธิบายโครงสร้างอะตอมได้เหมาะสมและดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

1.1.6  การจัดอิเล็กตรอนในอะตอม
          จากการศึกษาแบบจำลองอะตอมโดยใช้สมการทางคณิตศาสตร์ขั้นสูงที่เรียกว่าสมการคลื่น คำนวณหาค่าพลังงานของอิเล็กตรอน ทำให้ทราบว่าอะตอมประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอนอยู่รวมกันในนิวเคลียส โดยมีอิเล็กตรอนเคลื่อนที่อยู่รอบๆ และอยู่ในระดับพลังงานต่างกัน อิเล็กตรอนเหล่านั้นอยู่กันอย่างไร ในแต่ละระดับพลังงานจะมีจำนวนอิเล็กตรอนสูงสุดเท่าใด ให้นักเรียนพิจารณาข้อมูลแสดงการจัดอิเล็กตรอนของธาตุบางธาตุดังตาราง 1.4

ตาราง 1.4 แสดงการจัดอิเล็กตรอนของธาตุบางธาตุ
ธาตุเลขอะตอมจำนวนอิเล็กตรอนในระดับพลังงาน
n = 1n = 2n = 3n = 4
H
He
Li
Be
B
C
N
O
F
Ne
Na
Mg
Al
Si
P
S
Cl
Ar
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
1
2
2
2
2
2
2
2
2
2
2
2
2
2
2
2
2
2   

1
2
3
4
5
6
7
8
8
8
8
8
8
8
8
8






1
2
3
4
5
6
7
8
 


           - ระดับพลังงานที่ 3(n = 3) มีจำนวนอิเล็กตรอนได้มากที่สุดเท่าไร

          เมื่อพิจารณาข้อมูลในตาราง 1.4  จะพบว่าจำนวนอิเล็กตรอนในระดับพลังงานที่  1  มีได้มากที่สุด  2  อิเล็กตรอนระดับพลังงานที่   3 นั้น จากการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมทำให้ทราบว่ามีได้มากที่สุด 18 อิเล็กตรอน นั่นคือ จำนวนอิเล็กตรอนมากที่สุดที่มีได้แต่ละระดับพลังงานจะมีค่าเท่ากับ \displaystyle 2n^2 เมื่อ n คือ ตัวเลขแสดงระดับพลังงาน
          นักเรียนคิดว่าธาตุ K และ Ca ซึ่งมีเลขอะตอม 19 และ 20 ตามลำดับ มีจำนวนระดับพลังงานเท่าใด และในแต่ระดับพลังงานมีจำนวนอิเล็กตรอนอยู่เท่าใด
          นักเรียนบางคนอาจคิดว่าการจัดอิเล็กตรอนของธาตุ K และ Ca ควรเป็น K  2  8  9  และ Ca  2  8  10  ทั้งนี้เพราะในระดับพลังงานที่ 3  ควรมีอิเล็กตรอนได้สูงสุดถึง  18  อิเล็กตรอน  แต่จากข้อมูลและประจักษ์พยานหลายอย่างทำให้ทราบว่าการจัดอิเล็กตรอนของสองธาตุนี้เป็นดังนี้ K  2  8  8  1  และ  Ca  2  8  8  2  ซึ่งหมายความว่าอิเล็กตรอนในระดับพลังงานที่  3  ของทั้งสองธาตุนี้มีเพียง  8  อิเล็กตรอน และส่วนที่เพิ่มมาอีก  1  หรือ  2  อิเล็กตรอนนั้นเข้าไปอยู่ในระดับพลังงานที่  4 ก่อนที่ระดับพลังงานที่  3  จะมีอิเล็กตรอนครบ  18  ข้อมูลดังกล่าวนี้จะอธิบายได้ว่าอย่างไร
          จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์โดยอาศัยสมบัติที่เป็นคลื่นของอิเล็กตรอน และใช้ความรู้เกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัม เพื่อนำไปอธิบายโคร้างสร้างอะตอม ทำให้ทราบว่าอิเล็กตรอนอยู่ในระดับพลังงานหรือวาง (shell) ต่างๆ กัน และในระดับพลังงานเดียวกันยังมีการแบ่งเป็นระดับพลังงานย่อย (sub shell) ต่างๆ ซึ่งกำหนดเป็นตัวอักษร s  p  d  และ  f  ตามลำดับด้วย ตัวอย่างจำนวนระดับพลังงานย่อยที่เป็นไปได้ในแต่ละระดับพลังงานตั้งแต่ระดับพลังงานที่  1 - 4  เป็นดังนี้
          ระดับพลังงานที่  1  (n = 1)  มี  1  ระดับพลังงานย่อยคือ s
          ระดับพลังงานที่  2  (n = 2)  มี  2  ระดับพลังงานย่อยคือ s  p
          ระดับพลังงานที่  3  (n = 3)  มี  3  ระดับพลังงานย่อยคือ s  p d
          ระดับพลังงานที่  4  (n = 4)  มี  4  ระดับพลังงานย่อยคือ s  p d  f
ตัวอย่างระดับพลังงานและระดับพลังงานย่อยของอะตอมที่มีหลายอิเล็กตรอน แสดงดังรูป 1.19
 

รูป  1.19  แผนภาพระดับพลังงานของอะตอมที่มีหลายอิเล็กตรอน

          เนื่องจากอิเล็กตรอนมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลาความหนาแน่นของกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนซึ่งวัดในรูปของโอกาสที่จะพบอิเล็กตรอนเคลื่อนที่รอบนิวเคลียสจึงมีอาณาเขตและรูปร่างใน  3  มิติแตกต่างกัน  บริเวณรอบนิวเคลียสซึ่งมีโอกาสสูงที่จะพบอิเล็กตรอนและมีพลังงานเฉพาะนี้เรียกว่า ออร์บิทัล ออร์บิทัลมีชื่อและรูปร่างแตกต่างกัน  โดยที่  s  ออร์บิทัลมีความหนาแน่นของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสเท่ากันทุกทิศทาง ทำให้มองเห็นว่าออร์บิทัลนี้มีรูปร่างเป็นทรงกลมรอบนิวเคลียส p ออร์บิทัลมีความหนาแน่นของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสอยู่ในบริเวณแกน x  y  และ z  จึงเรียกว่า \displaystyle p_x   \displaystyle p_y   และ \displaystyle p_z    ออร์บิทัลตามลำดับออร์บิทัลทั้งสามนี้มีรูปร่างคล้ายดัมเบลล์ มีพลังงานเท่ากันแต่มีทิศทางแตกต่างกัน ส่วน d  ออร์บิทัลมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยสองออร์บิทัลคือ \displaystyle d_{z^2 } และ \displaystyle d_{x^2 } _{ - y^2 }  มีความหนาแน่นของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสอยู่ในบริเวณแกน z และแกน  x กับแกน y  ตามลำดับ  ส่วนอีกสามออร์บิทัลคือ  \displaystyle d_{xy} d_{yz} d_{xz}  ความหนาแน่นของอิเล็กตรอนจะอยู่ในบริเวณระหว่างแกน x กับ y แกน y กับ z และแกน x กับ z  ตามลำดับ รูปร่างออร์บิทัล s  p  และ  d  แสดงได้ดังตัวอย่างในรูป  1.20
 

รูป  1.20  รูปร่างออร์บิทัล s  p  และ  d


          ในกรณีของอะตอมที่มีหลายอิเล็กตรอน ระดับพลังงานย่อยที่อยู่ในระดับพลังงานเดียวกันจะมีพลังงานแตกต่างกันดังแสดงในรูป 1.19 และในแต่ละระดับพลังงานย่อยจะมีจำนวนออร์บิทัลแตกต่างกันดังนี้
          ระดับพลังงานย่อย  s  มี  1  ออร์บิลทัล
          ระดับพลังงานย่อย  p  มี  3  ออร์บิลทัล
          ระดับพลังงานย่อย  d  มี  5  ออร์บิลทัล
          ระดับพลังงานย่อย  f  มี  7  ออร์บิลทัล
          นักเรียนคิดว่าในแต่ละออร์บิทัลจะมีจำนวนอิเล็กตรอนเท่าใด จำนวนอิเล็กตรอนสูงสุดในออร์บิทัลที่อยู่ในระดับพลังงานย่อย  s  p  d และ  f  มีค่าเท่าใด  ให้พิจารณาจากข้อมูลในตาราง  1.5

ตาราง  1.5  ระดับพลังงานย่อย จำนวนอิเล็กตรอนสูงสุดในระดับพลังงานย่อย และในแต่ละระดับพลังงาน


          จากความรู้ที่กล่าวมาแล้ว เมื่อนำมาใช้บรรจุอิเล็กตรอนของอะตอมหนึ่งๆ ลงในออร์บิทัลที่เหมาะสมมีหลักการสำคัญที่ต้องนำมาใช้พิจารณาเพิ่มเติมดังนี้
          1.  ใช้หลักการกีดกันของเพาลีที่กล่าวว่า อิเล็กตรอนคู่หนึ่งคู่ใด ในออร์บิทัลเดียวกันจะต้องมีสมบัติไม่เหมือนกันอย่างน้อยอิเล็กตรอนคู่นั้นต้องมีลักษณะการหมุนรอบตัวเองแตกต่างกัน โดยตัวหนึ่งหมุนตามเข็มนาฬิกาและอีกตัวหนึ่งหมุนทวนเข็มนาฬิกาเพื่อให้ระบุได้ว่าเป็นอิเล็กตรอนตัวใดเมื่ออิเล็กตรอนอยู่ในระดับพลังงาน ระดับพลังงานย่อยและออร์บิทัลเดียวกัน ดังนั้นจึงกำหนดให้บรรจุอิเล็กตรอน ลงในออร์บิทัลได้สูงสุด 2 อิเล็กตรอน ถ้าในที่นี้เขียนแทนออร์บิทัลด้วย   อิเล็กตรอนเขียนแทนด้วยลูกศรอิเล็กตรอนในออร์บิทัลจึงเขียนแสดงได้เป็น      หรือ      โดยหัวลูกศรแสดงทิศทางการหมุนของอิเล็กตรอน  1  ใน  2  แบบที่เป็นไปได้คือการหมุนตามหรือทวนเข็มนาฬิกาในกรณีมีอิเล็กตรอนอยู่เต็มออร์บิทัล การเขียนที่ยอมรับได้คือ       ถ้าเขียนเป็น    หรือ        จัดว่าไม่สอดคล้องตามหลักการกีดกันของเพาลี
          2.  การบรรจุอิเล็กตรอนต้องบรรจุในออร์บิทัลที่มีพลังงานต่ำสุดและว่างอยู่ก่อนเสมอ (ตามหลักของเอาฟบาว) คือ 1s  2s  2p  3s.... ตามลำดับ เพราะจะทำให้พลังงานรวมทั้งหมดมีค่าต่ำสุดและอะตอมมีความเสถียรที่สุด ในกรณีที่มีหลายออร์บิทัลและแต่ละออร์บิทัลมีพลังงานเท่ากัน เช่น 2p ออร์บิทัล  ซึ่งออร์บิทัลทั้งสามมีพลังงานเท่ากัน ให้บรรจุอิเล็กตรอนในลักษณะที่ทำให้มีอิเล็กตรอนเดี่ยวมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ (ตามกฎของฮุนด์) เมื่อมีอิเล็กตรอนเหลือจึงบรรจุอิเล็กตรอนเป็นคู่เต็มออร์บิทัลนั้น เช่น มี  2  อิเล็กตรอนใน 2p ออร์บิทัล ให้บรรจุอิเล็กตรอนดังนี้     และถ้ามี 4 อิเล็กตรอนใน 2p ออร์บิทัล จะบรรจุอิเล็กตรอนได้เป็น   
 
          3.  อะตอมของธาตุที่มีการบรรจุอิเล็กตรอนเต็มในทุกๆ ออร์บิทัลที่มีพลังงานเท่ากันเรียกว่า การบรรจุเต็ม ถ้ามีอิเล็กตรอนอยู่เพียงครึ่งเดียวเรียกว่า การบรรจุครึ่ง การบรรจุเต็มหรือการบรรจุครึ่งจะทำให้อะตอมมีความเสถียรกว่าการบรรจุแบบอื่นๆ ตัวอย่างของออร์บิทัลที่บรรจุเต็มและบรรจุครึ่งแสดงได้ดังนี้
  
          ในกรณีที่อะตอมมีหลายอิเล็กตรอนการบรรจุอิเล็กตรอนในออร์บิทัลต่างๆ ตามลำดับระดับพลังงานจากต่ำไปสูงอาจใช้แผนภาพดังนี้
 
          ในกรณีของไฮโดรเจนอะตอมซึ่งมี  1  อิเล็กตรอนเมื่ออะตอมอยู่ในสถานะพื้นอิเล็กตรอนอาจอยู่ใน  1s  ออร์บิทัลซึ่งมีพลังงานต่ำที่สุด จึงเขียนแผนภาพแสดงการบรรจุอิเล็กตรอนในออร์บิทัลได้ดังนี้
 
          เพื่อความสะดวกจึงอาจเขียนสัญลักษณ์แสดงการจัดอิเล็กตรอนในออร์บิทัลได้เป็น \displaystyle ls^1 โดยมีความหมายดังนี้
 
          ฮีเลียนมี  2  อิเล็กตรอน อิเล็กตรอนทั้งหมดจึงเข้าไปอยู่ใน  1s  ออร์บิทัล และบรรจุในลักษณะที่ทำให้อิเล็กตรอนมีทิศทางการหมุนรอบตัวเองแตกต่างกันตามหลักของเพาลีเขียนแผนภาพแสดงได้ดังนี้
        หรือ \displaystyle ls^2
          สำหรับธาตุ  Li  Be  B  C  N    O  F  และ  Ne  ซึ่งมีอิเล็กตรอน  3  4  5  6  7  8  9  และ  10  ตามลำดับ เขียนแผนภาพแสดงการบรรจุอิเล็กตรอนในออร์บิทัลได้ดังนี้
 
          อิเล็กตอรนที่อยู่ในระดับพลังงานสูงสุดหรือชั้นนอกสุดของอะตอมเรียกว่า เวเลนซ์อิเล็กตรอน ดังนั้นธาตุเบริลเลียมจึงมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 2 และฟลูออรีนมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 7

         
การบรรจุอิเล็กตรอนในออร์บิทัลต่างๆ ตามลำดับระดับพลังงานโดยอาศัยแผนภาพดังที่กล่าวมาแล้ว มีบางธาตุที่การบรรจุอิเล็กตรอนในระดับพลังงานย่อยไม่เป็นไปตามหลักการนั้น ตัวอย่างเช่น ธาตุ Cr เลขอะตอม 24 เขียนแผนภาพแสดงการบรรจุอิเล็กตรอนในออร์บิทัลต่างๆ  ได้ดังนี้
           \displaystyle ls^2  \displaystyle 2s^2  \displaystyle 2p^6  \displaystyle 3s^2  \displaystyle 3p^6  \displaystyle 4s^1  \displaystyle 3d^5  ไม่ใช่  \displaystyle 4s^2  \displaystyle 3d^4  
หรือ Cu มีเลขอะตอม 29 บรรจุอิเล็กตรอนในออร์บิทัลต่างๆ ได้ดังนี้
           \displaystyle ls^2  \displaystyle 2s^2  \displaystyle 2p^6  \displaystyle 3s^2  \displaystyle 3p^6  \displaystyle 4s^1  \displaystyle  3d^{10}  ไม่ใช่  \displaystyle 4s^2  \displaystyle 3d^9  
          การที่บรรจุอิเล็กตรอนของธาตุ Cr เป็น \displaystyle 4s^1  \displaystyle 3d^5   โดยมีอิเล็กตรอนใน 3d ออร์บิทัล 5 อิเล็กตรอนนั้นเป็นการบรรจุครึ่ง ซึ่งทำให้อะตอมเสถียรกว่าการบรรจุแบบ \displaystyle 4s^2  \displaystyle 3d^4  ส่วนธาตุ Cu ซึ่งบรรจุอิเล็กตรอนเป็น \displaystyle 4s^1  \displaystyle  3d^{10}    จะเสถียรกว่าที่เป็น \displaystyle 4s^2  \displaystyle 3d^9  เพราะว่า 3d  ออร์บิทัลมีจำนวนอิเล็กตรอนเต็มทุกออร์บิทัลคือ 10 อิเล็กตรอนซึ่งเป็นการบรรจุเต็ม
ที่มา : vcharkarn

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กฤษฏา จ่อเปิดเวที4ภาคถกใช้3สารเคมีก่อนออกกฎคุม

                    เมื่อวันที่ 6 ก.ย.นายกฤษฏา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าหลังจากคณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติจำกัดการใช้สารเคมี...